ทุกวันนี้เราต่างเห็นสื่อออนไลน์ พูดคุยเกี่ยวกับการลาออกจากงานประจำ
เพื่อมาเทรดเป็นอาชีพหลักหรือ Full Time Trader นี่เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ!
Full Time Trader เทรดเป็นอาชีพ ลาออกดีไหม
Video Full Time Trader ลาออกเลยดีไหม
หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ สามารถสร้างรายได้จากการเทรดได้สม่ำเสมอ
คำถามหนึ่งที่ติดอยู่ในใจคือ "ฉันจะลาออกไปเป็น Full Time Trader ดีไหม"
- นี่เป็นเรื่องใหญ่ การตัดสินใจดังกล่าว อาจเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตคุณไปตลอด
- การลาออกจากงานเพื่อมาเทรดเป็นอาชีพ จำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ และเตรียมรับมือกับผลที่จะตามมา
- ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์สูง เคยมีผลงานเทรดที่ดี
- แต่การผันตัวเองไปเป็น Full Time Trader นั้นมีจุดเปลี่ยนที่คุณต้องทำความเข้าใจ
1. ความกดดันที่เพิ่มขึ้น ?
คุณอาจเคยเทรดได้ดีในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อคุณลาออกจากงานประจำ ความกดดันจะเพิ่มสูงขึ้น
- เนื่องจากการเทรดกลายเป็นรายได้หลัก ของครอบครัวและลูก ๆ ของคุณ
- การรักษาวินัย การบริหารความเสี่ยง จึงต้องมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
- นอกจากการกดดันตัวเอง สถานการณ์รอบข้างก็จะยิ่งกดดันคุณมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
- ซึ่งนั้นอาจกลายเป็นการสะสมความเครียด และมักจะส่งผลให้การตัดสินใจเทรดแต่ละครั้งของคุณแย่ลง
- คุณอาจจะไม่สามารถตัดสินใจเทรดได้ดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะความกดดันที่มากขึ้น
- และอาจนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับระบบเทรด ทั้งๆที่คุณเคยทดสอบมันมาเป็นอย่างดีแล้ว
คุณต้องถามตัวเองว่า
- ฉันจะรับมือกับความกดดัน,ความเครียด ที่เพิ่มสูงขึ้นได้หรือไม่ ?
- ชั่วโมงบินของฉันสูงพอ ที่รับมือกับความผันผวนของตลาดหรือไม่ ?
2. มันจะช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้นจริงหรือ ?
การลาออกจากงานมาเทรด เพื่อหวังว่าจะมีเวลาว่างอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
- ความฝันถึง Passive Income นั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
- เพราะโดยส่วนใหญ่ "การเทรดเป็นอาชีพ" มันจะกลายเป็น Super Active เสียมากกว่า
- ซึ่งในส่วนนี้ มันขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบเทรดของคุณ ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณยังต้องทำงานหนักต่อไปหรือไม่
- ระบบเทรดที่ดี มีขอบเขตเวลาอย่างชัดเจน อาจช่วยให้คุณใช้เวลาเทรดเพียงวันละ 10 นาที
- แต่ระบบเทรดที่ไม่ดี ต้องเฝ้าหน้าจอทั้งวัน นั้นจะเป็นฝันร้ายของคุณ
การลาออกจากงาน เพื่อมานั่งเฝ้าหน้าจอเทรดทั้งวัน
- นี่ไม่ใช้เรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่ เพราะทำให้เสียทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
- เหมือนการหาเงินเก็บไว้ เพื่อรอไปรักษาตัวในโรงพยาบาล
- คุณควรออกแบบการเทรดของคุณให้เป็นระบบ มีช่วงเวลาเทรดที่ชัดเจน
- การกำหนด Stop Loss, Take Profit อย่างชัดเจน เป็นส่วนช่วยให้เมื่อเปิดคำสั่งซื้อแล้ว ไม่ต้องไปเฝ้าหน้าจอบ่อยๆ
คุณต้องถามตัวเองว่า
- ระบบเทรดของคุณ ต้องใช้เวลาเฝ้าจอนานขนาดไหน มันทำให้คุณมีอิสระทางเวลาจริงๆไหม ?
- คุณมีตารางเวลาการเทรดในแต่ละวันชัดเจนแล้วหรือไม่ ?
ศึกษาเพิ่มเติม
3. คุณมีระบบเทรดที่ไว้ใจได้จริงไหม ?
คุณได้ทดสอบสถิติของระบบเทรดของคุณมาดีพอแล้วหรือยัง
- หากคุณจะลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็น Full Time Trader จริงๆ
- คุณควรจะมีการทดสอบสถิติระบบเทรดของคุณ *ย้อนหลังอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป
- เพื่อที่มันจะพอเป็นตัวที่ชี้วัดได้ว่า ระบบเทรดของคุณมีความเสถียร มีประสิทธิภาพมากพอ
- ที่จะรับมือกับความผันผวนของตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
- ซึ่งคุณต้องเข้าใจระบบเทรดนั้นเป็นอย่างดี สิ่งสำคัญคือ คุณต้องสามารถรักษาวินัยทำตามระบบ
- และสามารถทำตามแผนการบริหารความเสี่ยงของระบบเทรดนั้น ได้ตลอดรอดฝั่ง
คุณสามารถสรุปค่าสถิติระบบเทรดของคุณออกมาได้หรือไม่
- คุณจะมีกำไรเฉลี่ยต่อเดือน/ต่อปีเท่าไหร่ ?
- คุณจะมีโอกาสขาดทุนสะสมสูงสุดเท่าไหร่ (Maximal Drawdown) ?
ศึกษาเพิ่มเติม
- การออกแบบระบบเทรด
- การทดสอบระบบเทรด
- วางแผนบริหารความเสี่ยง
- ความน่าเชื่อถือของผลสถิติ
- ความสำคัญของสถิติ
4. คุณสามารถควบคุมอารมณ์ ให้อยู่เหนือตลาดได้ไหม ?
ถึงแม้ว่าคุณจะมีระบบเทรดที่ดีมาก แต่ทุกระบบเทรดย่อมมีช่วงเวลา Draw-Down Cycle
ที่ผ่านมาคุณรู้สึกอย่างไร เมื่อเจอสถานการณ์ขาดทุนสะสม
คุณทราบหรือไม่ ?
- แม้แต่นักลงทุนมืออาชีพ เมื่อเจอสถานการณ์ Drawdown ต่อเนื่อง ก็สติแตกได้!
- ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ และพยายามที่จะแก้แค้นตลาด
- ซึ่งนำไปสู่การ Over trade ไม่สนใจระบบ ไม่สนใจการบริหารความเสี่ยง แล้วจุดจบก็คือหายนะ
คุณต้องถามตัวเองว่า
- หากเจอสถานการณ์ขาดทุนสะสม คุณจะยังสามารถควบคุมอารมณ์ได้หรือไม่ ?
- คุณมีเงินเก็บสำรองมากพอ เพื่อจะรอผ่านพ้นช่วง Drawdown Cycle ได้หรือไม่ ?
- คุณจะยังสามารถรักษาวินัยทำตามระบบ บริหารความเสี่ยงตามแผนได้หรือไม่ ?
บทสรุปก้าวสู่การเป็น Full Time Trader
เรื่องนี้คุณต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ
- เพราะไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้แทนคุณได้
- หากคุณกำลังตัดสินใจเรื่องนี้อยู่ โปรดตรวจสอบความพร้อมของตัวเองจาก 4 คำถามด้านบน
- ถ้าจะลาออกจากงานประจำจริงๆ คุณต้องมีความพร้อม และควรที่จะตอบคำถามด้านบนได้อย่างชัดเจนและหนักแน่น
อาชีพนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
- Full Time Trader เป็นอาชีพที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก
- การรักษาวินัย อดทนทำตามระบบไปตลอดเส้นทาง
- แรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อออกมาเทรดเป็นอาชีพหลัก
การเทรดเป็นอาชีพ ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานประจำ
- เพราะการออกแบบระบบเทรดที่ดี, มีช่วงเวลาเทรดที่ชัดเจน
- ตัวอย่างเช่นลักษณะระบบเทรดที่เป็นการซื้อขายระยะยาว, Time-Frame Day - Week
- มีการกำหนดจุดเข้าออก Stop-loss และ Take-profit ชัดเจนในทุกคำสั่งซื้อ
- สามารถช่วยให้การบริหารเวลาทำได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องเฝ้าจอทั้งวัน จึงสามารถทำงานควบคู่กันไปได้
พิจารณาวางแผนกระจายความเสี่ยง ไปยังสินทรัพย์หลายกลุ่ม (Asset Allocation)
- การนำเงินทั้งหมดมาเทรด ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด แต่ควรวางแผนกระจายความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
- นักลงทุนมืออาชีพส่วนใหญ่ มักกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายกลุ่ม
- ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล, ประกันบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- และต้องมีเงินทุนสำรองฉุกเฉินเตรียมไว้เช่น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล